Skip to content
Siamcoder

การทำงานกับสตริงใน TypeScript

typescript2 min read

การทำงานกับสตริงใน TypeScript มีความหลากหลายและมีฟังก์ชันที่มีประโยชน์มากมายที่ช่วยให้เราจัดการและปรับแต่งสตริงได้ตามต้องการ นี่คือตัวอย่างเกี่ยวกับการทำงานกับสตริงใน TypeScript:

// การประกาศและกำหนดค่าสตริง
let message: string = 'สวัสดี TypeScript!';
let name: string = 'John';
// การเข้าถึงความยาวของสตริง
let length: number = message.length;
console.log('ความยาวของข้อความ:', length);
// การต่อสตริง (Concatenation)
let greeting: string = 'สวัสดี';
let fullName: string = greeting + ' ' + name;
console.log('ชื่อเต็ม:', fullName);
// การใช้งาน Template Literals
let age: number = 25;
let info: string = `ชื่อ: ${name}, อายุ: ${age}`;
console.log('ข้อมูล:', info);
// การตัดสตริง (Substring)
let substring: string = message.substring(0, 5);
console.log('สตริงย่อย:', substring);
// การค้นหาสตริง (Search)
let position: number = message.indexOf('TypeScript');
console.log('ตำแหน่งที่พบ:', position);
// การแทนที่สตริง (Replace)
let replaced: string = message.replace('TypeScript', 'JavaScript');
console.log('สตริงที่ถูกแทนที่:', replaced);
// การแปลงเป็นตัวพิมพ์ใหญ่หรือตัวพิมพ์เล็ก
let uppercase: string = message.toUpperCase();
let lowercase: string = message.toLowerCase();
console.log('พิมพ์ใหญ่:', uppercase);
console.log('พิมพ์เล็ก:', lowercase);
// การตรวจสอบสตริงที่ว่างเปล่า
let isEmpty: boolean = message === '';
console.log('สตริงว่างเปล่าหรือไม่:', isEmpty);`

ในตัวอย่างข้างต้น เราใช้ตัวแปร message เพื่อเก็บค่าสตริง 'สวัสดี TypeScript!' และตัวแปร name เพื่อเก็บค่าสตริง 'John'

เราใช้ฟังก์ชัน length เพื่อเข้าถึงความยาวของสตริง และแสดงผลทางหน้าจอ

เราใช้การต่อสตริง (Concatenation) ด้วยเครื่องหมาย '+' เพื่อรวมสตริงเข้าด้วยกัน เช่น 'สวัสดี' + 'John' จะได้ผลลัพธ์เป็น 'สวัสดี John'

เราใช้ Template Literals เพื่อผสมสตริงและค่าตัวแปรระหว่างเครื่องหมาย ${} เพื่อสร้างสตริงที่มีการแทนค่าตัวแปร เช่น ชื่อ: ${name}, อายุ: ${age}

นอกจากนี้ยังมีฟังก์ชันอื่น ๆ เช่น substring เพื่อตัดสตริงย่อย, indexOf เพื่อค้นหาตำแหน่งของสตริง, replace เพื่อแทนที่สตริง, toUpperCase เพื่อแปลงเป็นตัวพิมพ์ใหญ่, toLowerCase เพื่อแปลงเป็นตัวพิมพ์เล็ก, และการตรวจสอบสตริงว่างเปล่า

การทำงานกับสตริงใน TypeScript ช่วยให้เราสามารถดำเนินการต่าง ๆ กับสตริงได้ตามความต้องการของโปรแกรม

นอกจากตัวอย่างการใช้งานกับสตริงใน TypeScript ที่กล่าวมาแล้ว เรายังสามารถใช้ฟังก์ชันอื่น ๆ ในการจัดการกับสตริงได้อีกมากมาย นี่คือตัวอย่างเพิ่มเติม:

// การตรวจสอบความเป็นจริงของสตริง (String Truthiness)
let str1: string = 'Hello';
let str2: string = '';
if (str1) {
console.log('สตริง str1 เป็นจริง');
} else {
console.log('สตริง str1 เป็นเท็จ');
}
if (str2) {
console.log('สตริง str2 เป็นจริง');
} else {
console.log('สตริง str2 เป็นเท็จ');
}
// การแยกสตริงเป็นอาร์เรย์ (Splitting a String into an Array)
let sentence: string = 'สวัสดีคุณทุกคน';
let words: string[] = sentence.split(' ');
console.log('อาร์เรย์ของคำ:', words);
// การเชื่อมต่ออาร์เรย์เป็นสตริง (Joining an Array into a String)
let fruits: string[] = ['แอปเปิ้ล', 'กล้วย', 'ส้ม'];
let fruitsString: string = fruits.join(', ');
console.log('สตริงของผลไม้:', fruitsString);
// การตรวจสอบการเริ่มต้นและสิ้นสุดของสตริง (Checking String Start and End)
let fullName: string = 'John Doe';
if (fullName.startsWith('John')) {
console.log('ชื่อเริ่มต้นด้วย John');
}
if (fullName.endsWith('Doe')) {
console.log('นามสกุลลงท้ายด้วย Doe');
}
// การกำหนดขนาดของสตริง (Padding a String)
let number: string = '42';
let paddedNumber: string = number.padStart(5, '0');
console.log('เลขที่แทนด้วย 0:', paddedNumber);`

ในตัวอย่างข้างต้น เราใช้ฟังก์ชัน startsWith เพื่อตรวจสอบว่าสตริงขึ้นต้นด้วยคำที่กำหนดหรือไม่ และใช้ฟังก์ชัน endsWith เพื่อตรวจสอบว่าสตริงลงท้ายด้วยคำที่กำหนดหรือไม่ นอกจากนี้ยังมีฟังก์ชันอื่น ๆ เช่น slice เพื่อตัดสตริงย่อย, indexOf เพื่อค้นหาตำแหน่งของสตริง, replace เพื่อแทนที่สตริง, toUpperCase เพื่อแปลงเป็นตัวพิมพ์ใหญ่, toLowerCase เพื่อแปลงเป็นตัวพิมพ์เล็ก และอื่น ๆ ตามความต้องการของโปรแกรมของคุณ